สถานการณ์สำคัญ
ในคริสต์ศตวรรษที่21
โลกในคริสต์ศตวรรษที่ 21
เป็นยุคที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ
ของทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกันส่งผลทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ชาติโดยรวมในคริสต์ศตวรรษที่
21 ดังตัวอย่างต่อไปนี้
การก่อการร้าย
เมื่อวันที่11 กันยายน ค.ศ. 2001
การก่อการร้าย หมายถึง
การใช้ความรุนแรงหรือขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
เพื่อเปลี่ยนแปลงผลของกระบวนการทางการเมืองบางประการ ผู้ก่อการอาจเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศหรือเป็นสมาชิกองค์กรใต้ดินต่างๆ
โดยจุดมุ่งหมายของการก่อการร้ายกล่าวอย่างกว้างๆ มี 2 ประการ ประการที่หนึ่ง คือ
เพื่อแสดงออกซึ่งความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเผชิญอยู่ประการที่สอง คือ
เพื่อเรียกร้องความสนใจและสร้างให้เกิดความกลัวขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีทางด้านข่าวสารพัฒนาก้าวหน้าไปมาก
กลุ่มผู้ก่อการร้ายสามารถใช้สื่อสารมวลชนช่วยกระจายความต้องการหรือข้อเรียกร้องของตนออกไปอย่างกว้างขวาง
ทำให้ประชาชนและผู้ปกครองต้องหันมาสนใจและเกิดความกลัวขึ้นมาว่าหากไม่ ทำตามคำเรียกร้องกลุ่มก่อการร้ายก็อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาได้
การก่อการร้ายที่
สร้างความเสียหายครั้งสำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 21 คือ เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001
ที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้จี้บังคับเครื่องบินโดยสารภายในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 4 ลำ พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
รัฐนิวยอร์ก และพุ่งชนอาคารเพนตากอน ที่ทำการกระทรวงกลาโหม รัฐวอชิงตัน ดี.ซี.
ผลปรากฏว่าอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มทั้งสองอาคาร
ส่วนอาคารเพนตากอนเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,000 คน และทรัพย์สินถูกทำลายเสียหายมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า
100,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
รวมทั้งขวัญกำลังใจของชาวอเมริกันตกต่ำลงเนื่องจากเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยอันมาจากการถูกโจมตีภายในประเทศของตนเป็นครั้งแรก
จากเหตุการณ์การก่อการร้ายนี้
นักวิชาการส่วนใหญ่ต่างวิเคราะห์สาเหตุของเหตุการณ์ว่าน่าจะมาจากการที่
สหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกมาตลอดตั้งแต่
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะแผ่ขยายอำนาจไปทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนตะวันออกกลางที่มีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ คือ น้ำมัน
ด้วยการแทรกแซงและสนับสนุนการก่อตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์ใน ค.ศ. 1948
จากนั้นสหรัฐอเมริกาก็ดำเนินนโยบายสนับสนุนอิสราเอลมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามกับกลุ่มประเทศอาหรับ
การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ ขณะเดียวกันก็ให้การสนับสนุนรัฐบาลของประเทศอาหรับที่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา
การกระทำเช่นนี้สร้างความไม่พอใจให้กับหมู่ ชาวอาหรับซึ่งเห็นว่าสหรัฐอเมริกามีนโยบายคุกคามกลุ่มประเทศอาหรับและต้องการเข้ามามีอำนาจในประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคนี้
การแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้นำมาซึ่งความขัดแย้งนับครั้งไม่ถ้วนของประเทศต่างๆ
หลายครั้ง
นอกจากนี้ความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ก่อการร้ายที่เป็นมุสลิมมีเป้าหมายในการทำสงครามเพื่อศาสนาหรือการทำจิฮัด
(Jihad) ต่อต้านสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร
โดยเฉพาะอิสลาเอลให้ออกไปจากดินแดนปาเลสไตน์ รวมทั้งต่อต้านประเทศมุสลิมที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา
อย่างเช่นซาอุดีอาระเบีย
การที่สหรัฐอเมริกาถูกโจมตีด้วยการถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
สัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจและอาคารเพนตากอน ที่ทำการกระทรวงกลาโหม
สัญลักษณ์ทางการทหารของสหรัฐอเมริกานั้นนับเป็นปฏิกิริยาที่มีต่อบทบาทของสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
รวมทั้งเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในฐานะชาติมหาอำนาจและเป็นศูนย์กลางระบบทุนนิยมโลก
สหรัฐอเมริกาไม่สามารถยอมให้เหตุการณ์การก่อการร้ายนี้ผ่านไปโดยหาผู้รับผิดชอบไม่
ได้ ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาเชื่อว่าการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของขบวนการอัล เคดาหรืออัล กออิดะห์ ที่ มีนายอุซามะ บิน ลาเดน (Usama Bin Ladin) เป็นผู้นำสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศสงครามกับกลุ่มก่อการร้ายและพร้อมจะทำลายกลุ่มองค์กรเหล่านี้รวมทั้งรัฐบาลที่
ให้แหล่งพักพิงและสนับสนุนการก่อการร้าย ดังนั้นสังคมโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 21
จึงก้าวเข้าสู่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ
ทั้งนี้การก่อการร้ายระหว่างประเทศนอกจากจะเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาแล้ว
ยังคงเกิดขึ้นตามจุดต่างๆทั่วโลก ประเทศต่างๆ ตระหนักว่ากลุ่มก่อการร้ายเป็นองค์กรขนาดใหญ่
ปฏิบัติการเคลื่อนไหวผ่านเครือข่ายที่ กระจายอยู่ ทั่วโลก จึงเกิดการตื่นตัวในการร่วมมือป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
เช่น ประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหภาพยุโรป รัสเซีย
และจีนกลายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายและทำสงครามโค่นล้มรัฐบาลของประเทศอัฟกานิสถาน
โดยอ้างถึงความกดขี่ ในด้านการปกครองและการสนับสนุนการทำสงครามกับอิรัก
เพราะไม่ต้องการสนับสนุนการดำเนินนโยบายแบบฝ่ายเดียวกับสหรัฐอเมริกาขณะเดียวกันกลุ่มก่อการร้ายก็ทำการก่อวินาศกรรมต่อต้านสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอย่างเช่นอังกฤษและออสเตรเลีย
ด้วยการก่อวินาศกรรมทำลายชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น
เช่นเหตุการณ์การก่อการร้ายระเบิดสถานบันเทิงในเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ในเดือนตุลาคมค.ศ. 2002 ที่มีผู้เสียชีวิต 202 คนและบาดเจ็บกว่า 300 คน เป็นต้น
ความขัดแย้งทางศาสนา
1. ความขัดแย้งระหว่างศาสนา
ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งทางศาสนาในประเทศอินเดีย เป็นความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมจนแยกเป็นประเทศปากีสถานใน
ค.ศ. 1947
ซึ่งเดิมปากีสถานรวมเป็นดินแดนเดียวกับอินเดียและอยู่ภายใต้การปกครองอังกฤษ
และก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราช
ชาวมุสลิมในอินเดียก็ร่วมกันเรียกร้องที่จะแยกประเทศเนื่องจากความแตกต่างระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม
ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางการเมืองที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามหรือชาวมุสลิมที่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู
ทำให้ชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศที่ ได้รับสิทธิทางการเมืองน้อย
หรือความแตกต่างทางศาสนาที่ชาวมุสลิมนับถือพระเจ้าองค์เดียว
ส่วนชาวฮินดูนับถือพระเจ้าหลายองค์ รวมทั้งความแตกต่างทางสังคมที่ชาว124
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6
ประวัติศาสตร์สากลมุสลิมเชื่อว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกัน
แต่สังคมชาวฮินดูมีระบบวรรณะ เป็นต้น
จากเหตุผลดังกล่าวปัญหาระหว่างชาวมุสลิมและชาวฮินดูก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงขั้นปะทะกันอย่างรุนแรง
ในที่สุดอังกฤษจึงให้เอกราชกับอินเดียและปากีสถานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1947
แต่ภายหลังจากมีการจัดตั้งเป็นประเทศแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานก็ไม่ราบรื่นนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาพรมแดน
ปัญหาแคว้นแคชเมียร์ และการแข่งขันการสะสมและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม
นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวฮินดูในอินเดียก็ยังคงดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
2. ความขัดแย้งภายในศาสนาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
1)ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมในประเทศปากีสถาน
ที่นำไปสู่การแยกเป็นประเทศปากีสถานกับบังกลาเทศเมื่อ ค.ศ. 1971 โดยมีสาเหตุสำคัญ
2 ประการ ประการที่หนึ่งมาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แยกปากีสถานออกเป็น 2 ส่วน คือ
ปากีสถานตะวันตกและปากีสถานตะวันออกโดยมีอินเดียคั่นกลาง
ส่วนอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ ความไม่พอใจในความไม่เท่าเทียมกันเนื่องจากประชากรในปากีสถานตะวันออกส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดของประเทศปากีสถาน
แต่รัฐบาลกลับให้ความสนใจในการพัฒนาปากีสถานตะวันตกมากกว่า
ชาวปากีสถานตะวันออกจึงพยายามที่จะแยกตัวออกมา
รัฐบาลปากีสถานจึงส่งกองทหารเข้าปราบปราม ทำให้ชาวปากีสถานตะวันออกหลบหนีไปอาศัยอยู่ในอินเดีย
โดยที่รัฐบาลปากีสถานกล่าวโจมตีอินเดียว่าให้การสนับสนุนแก่ชาวปากีสถานตะวันออก
อย่างไรก็ตาม
ในที่สุดปากีสถานตะวันออกก็สามารถแยกประเทศได้สำเร็จและจัดตั้งประเทศใหม่ในชื่อว่า
บังกลาเทศ
2) ความขัดแย้งระหว่างอิรักและอิหร่าน มีสาเหตุสำคัญ
ได้แก่
- ปัญหาเรื่องเขตแดน ได้แก่ การแย่งชิงสิทธิเหนือร่องน้ำอัล อาหรับซึ่งเป็นเขตแดนตอนใต้ระหว่างอิรัก-อิหร่าน
และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ คือ
เป็นที่ตั้งท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดและสถานีส่งน้ำมันที่สำคัญ รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำมันของอิหร่านด้วย
- ปัญหาชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด
ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยชาวเขาในอิรัก อิหร่าน และซีเรีย ที่
ได้พยายามเรียกร้องการปกครองตนเองมาเป็นเวลายาวนาน
โดยเฉพาะในอิรักที่มีชาวเคิร์ดอาศัยอยู่ จำนวนมาก ที่ มีความแตกต่างจากอิรักทั้งเชื้อชาติและศาสนาแม้จะเป็นมุสลิมเหมือนกันแต่ก็นับถือกันคนละนิกาย
โดยชาวอิรักนับถือนิกายชีอะห์ ส่วนชาวเคิร์ดนับถือนิกายสุหนี่ ทั้งนี้ชาวเคิร์ดมักใช้วิธีการก่อจราจลและการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธโดยได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
ซึ่งทางอิรักก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง
-
ความขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศ
ภายหลังที่อิหร่านโค่นล้มสถาบันกษัตริย์และเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐอิสลาม
ที่มี อยาโตลลาห์ โคไมนี เป็นผู้นำประเทศอิหร่าน
และนำหลักศาสนาอิสลามมาใช้ในการปกครองประเทศ หลายประเทศในตะวันออกกลางเกรงว่าอิหร่านจะเผยแพร่แนวคิดรัฐอิสลามไปยังประเทศของตนและอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางการเมือง
ทำให้อิรักที่มีพรมแดนติดกับอิหร่านและมีความขัดแย้งกันมานานแล้วยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
โดยโคไมนีพยายามเรียกร้องให้ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีจำนวนร้อยละ65 ของชาวอิรักทำการโค่นล้มรัฐบาลประธานาธิบดีซัดดัม
อุสเซน ซึ่งเป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ ที่พยายามจะขยายอำนาจเข้ามาในอิหร่าน
จากความขัดแย้งของทั้งสองประเทศส่งผลให้เกิดการปะทะกันตาม
พรมแดนและทวีความรุนแรงมากขึ้น กลายเป็นสงครามยืดเยื้อ
เนื่องจากอิรักได้รับการสนับสนุนอาวุธจากสหรัฐอเมริกา ส่วนอิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซียจนกระทั่งองค์การสหประชาชาติและประเทศที่เป็นกลางพยายามเจรจาและยุติสงครามใน
ค.ศ. 1988
ปัญหาโรคระบาด
ในคริสต์ศตวรรษที่
21 นี้ได้เกิดเหตุการณ์ทางด้านโรคติดต่อร้ายแรงหลายชนิดที่คุกคามมนุษยชาติ
ส่งผลต่อความสูญเสียชีวิตของมนุษย์และสัตว์ปีกที่เป็นอาหารของมนุษย์
นอกจากนี้ยังสูญเสียงบประมาณในการรักษาและป้องกัน
รวมทั้งภาพรวมทางเศรษฐกิจโดยรวมด้วย โรคติดต่อร้ายแรงในคริสต์ศตวรรษที่ 21
ที่จะกล่าวถึง ได้แก่ โรคเอดส์ โรคไข้หวัดมรณะ โรคไข้หวัดนก
และโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009
โรคเอดส์
โรคเอดส์ (Acquired Immuno Deficiency Syndrome: AIDS) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่วงการแพทย์เรียกกันว่า
Human Immuno Deficiency Virus หรือไวรัส ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของมนุษย์บกพร่อง
ซึ่งนิยมเรียกกันย่อๆ ตามอักษรตัวแรกของชื่อไวรัสนี้ในภาษาอังกฤษวิ่ง เอชไอวี(HIV) เมื่อเชื้อไวรัส เอชไอวีเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้ว
จะมีการฟักตัวอยู่ระยะเวลาหนึ่ง
บางครั้งอาจใช้เวลานานหลายปีโดยไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใดๆ
ต่อมาไวรัสก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสื่อมลงเรื่อยๆ
ในที่สุดร่างกายก็ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อโรคใดๆ
ทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ เช่น ปอดบวม วัณโรค มะเร็งบางชนิด ปอดอักเสบสมออักเสบ
แทรกตามมาได้ง่ายและจะปรากฏอาการของโรคเอดส์ขึ้นมา
โรคไข้หวัดมรณะ
ไข้หวัดมรณะหรือซาร์ส
(Severe Acute Respiratory Syndrome: SARS)
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า
SARS-associated coronvirus (SARS-CoV) และจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเชื่อว่าเชื้อไวรัสที่น่าจะเป็นสาเหตุของไข้หวัดมรณะ
คือ เชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าโคโรนาไวรัส (Corona
Virus) ซึ่งเชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดโรคได้ทั้งมนุษย์และสัตว์
เมื่อใดที่ต้องออกมาอยู่ภายนอกร่างกายก็จะถูกทำลายลงได้ง่าย โดยทั่วไปจะอยู่ได้ไม่เกิน
3 ชั่วโมง และหากอยู่ ในบริเวณที่มีแสงแดด
ความร้อนและรังสียูวีในแสงแดดจะทำลายเชื้อโรคภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง นอกจากนี้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงานทั่วไปก็สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ด้วยเช่นกัน
ไข้หวัดมรณะหรือโรคซาร์สได้เริ่มคุกคามมนุษย์และแพร่ระบาดมากใน
ค.ศ. 2003 โดยประเทศที่ ได้รับเชื้อไข้หวัดมรณะรุนแรง ได้แก่ จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน
แคนาดา ฮ่องกง และเวียดนาม ทั้งนี้การติดต่อของโรคไข้หวัดมรณะสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
เนื่องจากจะมีเชื้อแพร่ออกมากับน้ำมูก เสมหะ และน้ำลายของผู้ป่วย
เมื่อเวลาไอหรือจาม เมื่อ
ผู้อยู่ใกล้สูดดมหรือหายใจเข้าไปจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านมากับสิ่งของเครื่องใช้
เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ช้อน หลอดดูดน้ำ เป็นต้น
เมื่อใครได้รับเชื้อโรคหวัดมรณะแล้วจะมีระยะการฟักตัว 2-7 วัน
หลังจากนั้นจะมีอาการเป็นไข้ ไอแห้งๆ เจ็บหน้าอก หอบ
ในรายที่ป่วยหนักจะต้องใช้เครื่องหายใจเข้าช่วย ส่วนการรักษานั้น
ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง บางรายต้องให้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส ตามอาการ
ไข้หวัดมรณะจึงถือเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่คุกคามมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งประเทศต่างๆ
ทั่วโลกต่างเฝ้าระวังในการแพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศของตนเพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนอย่างเต็มที่
โรคไข้หวัดนก
ไข้หวัดนก (Avian Influenza) ในภาษาอังกฤษเรียกโรคนี้กันอีกชื่อหนึ่งว่า
Bird Flu ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทยและใช้กันอย่างแพร่หลายว่า
โรคไข้หวัดนก โดยแปลคำว่านกมาจากคำว่า bird
ในภาษาอังกฤษนั่นเอง
แต่ที่จริงแล้วคำว่า bird ในภาษาอังกฤษไม่
ได้หมายถึงเฉพาะนกเท่านั้น แต่หมายถึงสัตว์ปีกอื่นๆ ด้วย
ไข้หวัดนกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ
Avian Influenza Type A เป็นสายพันธุ์ที่พบในนกซึ่งเป็นแหล่งโรคในธรรมชาติ
ที่พบมาก ได้แก่ นกเป็ดน้ำ นกอพยพ และนกตามธรรมชาติ
การติดต่อในหมู่สัตว์ติดต่อได้โดยเชื้อไวรัสถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระของนกและติดต่อสู่สัตว์ปีกที่
ได้รับเชื้อทางระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร
โดยปกติโรคนี้จะติดต่อสู่คนได้ยาก
แต่คนที่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคอาจติดเชื้อได้
มีรายงานการเกิดโรคนี้ในคนเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1997 ที่ฮ่องกง
เป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสสัตว์ปีก
และจากการเฝ้าระวังโรคพบว่ายังไม่มีการติดต่อระหว่างคนสู่คน
ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรค ได้แก่
ผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับสัตว์ปีกและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ปีก ได้แก่ ผู้เลี้ยง
ผู้ฆ่า ผู้ขนส่ง ผู้ขนย้าย ผู้ขายสัตว์ปีกและซากสัตว์ปีก สัตวบาล และสัตวแพทย์
รวมถึงเด็กๆ ที่เล่นและคุกคลีกับสัตว์ด้วย
ภาวะเรือนกระจก
ภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect)หมายถึง
การที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และ
ก๊าซอื่นๆ
สะสมพอกพูนมากขึ้นในบรรยากาศ ระดับต่ำ โดยที่
ยอมให้แสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ผ่านไปยังพื้นโลกได้บางส่วน
ขณะเดียวกันก็ได้เก็บความร้อนส่วนหนึ่งไว้
ทำให้โลกกลายสภาพเป็นเสมือนเรือนกระจกขนาดมหึมา
ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การเกิดภาวะเรือนกระจกมีหลายสาเหตุ
ทั้งสาเหตุจากธรรมชาติ อันได้แก่ การเน่าเปื่อยของซากพืชและซากสัตว์
การระเบิดของภูเขาไฟและไฟป่าทำให้เกิดควันจำนวนมาก
และสาเหตุจากมนุษย์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า
การเผาไหม้ของถ่านหิน น้ำมัน การใช้ปุ๋ยไนโตรเจน การทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์
เป็นต้น จนทำให้เกิดก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น

แม้ว่าความร้อนจากภาวะเรือนกระจกจะมีผลกระทบและเป็นอันตรายต่อโลกมนุษย์และ สิ่งมีทั้งหลายในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันภาวะเรือนกระจกก็ได้ส่งผลกระทบต่อโลกบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบขั้วโลกใต้หรือทวีปแอนตาร์กติที่มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี
โดยจะทำให้ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกใต้ละลายเร็วกว่ากำหนด ทั้งนี้เมื่อ ค.ศ. 2001
องค์การนาซาของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สำรวจพบว่าความหนาของธารน้ำแข็งไพน์ไอซ์แลนด์
(Pine Island) ทะวาอิทส์ (Thwaites) และสมิท (Smith) ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดสามแห่งในทวีปแอนตาร์กติกาเริ่มลงขนาดลงเรื่อยๆ
อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณที่ใกล้กับทะเลอามุนด์เซน(Amundsen) ซึ่งธารน้ำแข็งดังกล่าวไม่สามารถคงสภาพเดิมไว้ได้
แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน
นอกจากธารน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกใต้เริ่มละลายแล้ว
ปรากฏว่าธารน้ำแข็งหรือหิมะในบริเวณภูเขาสูงๆ ทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย
และแถบตอนเหนือของประเทศแคนาดาซึ่งอยู่ติดกับขั้วโลกเหนือ ก็เริ่มละลายด้วยเช่นกันดังนั้นหากประเทศต่างๆ
ยังไม่ร่วมกันรีบแก้ไขปัญหาภาวะเรือนกระจก
อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมขนาดใหญ่อย่างฉับพลัน
พื้นที่ต่ำบางแห่งอาจถูกน้ำท่วมจมหายใต้ท้องทะเล
ทำให้พื้นที่อยู่อาศัยและที่ ทำกินมนุษย์ลดลงไปเรื่ อยๆ รวมทั้งสัตว์บางชนิดที่
อาศัยในบริเวณนั้นเสียชีวิตหรือสูญพันธุ์ได้